เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี (มกธ.) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการร่วมสนับสนุนการพัฒนานักกีฬามวยไทยด้านการศึกษาตามโครงการ “SMART MUAYTHAI” เพื่อเป็นกลไกในการสนับสนุน ส่งเสริม และผลักดันการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านการกีฬาให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย โดยมี ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านการกีฬาตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี (มกธ.) คุณโปรดปราน สมานมิตร รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาอาชีพและกีฬามวย ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือดังกล่าว ทั้งนี้ รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยผู้บริหารของทั้งสองสถาบัน คณาจารย์ ร่วมเป็นสักขีพยานในโอกาสนี้ด้วย
การลงนามความร่วมมือด้านการสนับสนุนการพัฒนานักกีฬามวยไทยระหว่าง การกีฬาแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีดังกล่าว เพื่อร่วมพัฒนาส่งเสริม และสนับสนุนนักกีฬามวยไทย ผู้ฝึกสอน และผู้ตัดสินในการพัฒนาด้านการศึกษา รวมทั้งร่วมคัดสรรและเสริมสร้างโอกาสทางด้านการศึกษาแก่นักกีฬามวยไทย ผู้ฝึกสอน และผู้ตัดสินที่ประสบความสำเร็จ และเป็นที่ยอมรับ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาบุคลากรด้านการกีฬามวยไทยของประเทศไทยให้ได้รับการพัฒนาความรู้ และการศึกษาอย่างยั่งยืนอีกด้วย
ความร่วมมือระหว่างสองสถาบันดังกล่าว ยังเป็นการส่งเสริมให้มีการผลักดันการค้นหาช่องทาง เพื่อเสริมสร้างโอกาสให้กับนักกีฬามวยไทยเข้าสู่เวทีการแข่งขันในระดับประเทศ และระดับโลก ทั้งด้านการกีฬาและการประกอบอาชีพด้วย
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี (มกธ.) ยังได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงโครงการความร่วมมือระหว่าง IEDD Instituciones Educativas del Desierto กับมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเนื้อหาการศึกษา การส่งเสริมกีฬา การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการพัฒนากีฬามวย และมวยไทยทั้งสองสถาบัน โดย พล.ต.ธนพล ภักดีภูมิ ประธานสภามวยโลกมวยไทย (WBC มวยไทย) ศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ Ms.Xochit Lagarda, Director of WBC University และ ดร.ประกิต หงษ์แสนยาธรรม คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงโครงการความร่วมมือดังกล่าว
การลงนามตามโครงการความร่วมมือระหว่าง IEDD และมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากรมวยไทยในหลายมิติ เช่น สื่อการเรียนรู้ วิธีการ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด รวมทั้งการสร้างและปรับปรุงแพลตฟอร์มเทคโนโลยีในด้านการเรียนรู้ และการจัดการศึกษา เป็นต้น
ความร่วมมือระหว่าง IEDD และมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีดังกล่าว ยังสนับสนุน ส่งเสริมกีฬามวยไทย และพัฒนาความคิดริเริ่มในการฝึกมวยและมวยไทย รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการพัฒนากีฬามวยและมวยไทยอย่างเป็นระบบอีกด้วย
ในการนี้ การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทั้งสองฉบับดังกล่าวมีผู้บริหารของการกีฬาแห่งประเทศไทย สภามวยโลกมวยไทย IEDD Instituciones Educativas del Desierto WBC University พร้อมด้วยผู้บริหาร คณาจารย์ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ตลอดจนสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยาน และแสดงความยินดีในโอกาสดังกล่าวด้วย ณ ศูนย์ฝึกปฏิบัติการ การโรงแรมและการท่องเที่ยว ขั้น 2 มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
ธันย์ธรณ์เทพ แย้มอุทัย
Legal Advance Solution / LAS
[email protected]
คุณธันย์ธรณ์เทพ แย้มอุทัย กรรมการผู้จัดการบริษัท ลีกัล แอดวานซ์ โซลูชั่น จำกัด (LAS) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายประจำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ คุณธนดี หงษ์รัตนอุทัย กรรมการ บริษัท นที ออดิท จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการศึกษา ได้ร่วมจัดทำร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ภายใต้แนวคิดการศึกษาที่ตอบโจทย์ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ มุ่งปรับปรุงระบบการศึกษาให้ตอบโจทย์ภาคธุรกิจมากขึ้น ทั้งในด้านการพัฒนาหลักสูตรและวิธีการเรียนการสอน ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนระบบพี่สอนน้องและการยอมรับผลงานนอกห้องเรียนในการประเมินผลการศึกษา
คุณศรัฐ ปวรเดชาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการพัฒนาและยกระดับทีมที่ปรึกษากฎหมายด้านอสังหาริมทรัพย์ให้กับบริษัท ลีกัล แอดวานซ์ โซลูชั่น จำกัด (LAS)
ด้วยประสบการณ์อันโดดเด่นในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับ Ultra Luxury และความเชี่ยวชาญในการบริหารงานระดับสูงในบริษัทจดทะเบียน คุณศรัฐได้นำความรู้และวิสัยทัศน์มาประยุกต์ใช้ในการสร้างทีมกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ โดยมีผลงานที่โดดเด่นในการให้คำปรึกษาโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury และโรงแรมแบรนด์ต่างๆ (Branded Hotel) รวมถึงการพัฒนาโครงการ Mixed-Use Complex ในย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร
ภายใต้การนำของคุณศรัฐ ทีมที่ปรึกษากฎหมายด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ LAS ได้พัฒนาศักยภาพในการให้บริการครอบคลุมทุกมิติของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในแบบ Mixed-Use Project และการให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ
ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงแต่ยกระดับมาตรฐานการให้บริการของ LAS เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความสามารถของคุณศรัฐในการผสานความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการบริหารเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างทีมที่ปรึกษากฎหมายที่มีความเป็นเลิศในวงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โดยมีสาระสำคัญได้แก่
1. กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เช่น กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรและคณะกรรมการบริหาร จัดตั้งสำนักงานกำกับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร และกำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ประกอบสถานบันเทิงครบวงจร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและกำกับดูแลเพื่อให้เกิดธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่ได้มาตรฐานเพื่อรองรับการท่องเที่ยวและส่งเสริมการลงทุนในประเทศ อันจะก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมในภาพรวมและเป็นการสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
2. แผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... รวมจำนวน 24 ฉบับ ดังนี้
(1) ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร
(2) ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และจำนวนใบอนุญาตสถานบันเทิงครบวงจร
(3) ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
(4) ร่างประกาศสำนักงานกำกับการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง หลักเกณฑ์ ประเภท ลักษณะ วิธีการเล่น และรายละเอียด ประเภทกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจร
(5) ร่างประกาศสำนักงานกำกับการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง ผู้ที่มีลักษณะของบุคคลต้องห้ามเข้าไปในสถานประกอบการกาสิโน
(6) ร่างประกาศสำนักงานกำกับการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง มาตรฐานเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในสถานประกอบการกาสิโน
(7) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง สัดส่วน พื้นที่ของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจร
(8) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาตสถานบันเทิงครบวงจร
(9) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง เอกสารหลักฐานประกอบการยื่นคำขอรับใบอนุญาตสถานบันเทิงครบวงจร
(10) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงกรรมการ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นหรือโครงสร้างองค์กร ของผู้รับใบอนุญาตและการนำหุ้นไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้
(11) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตสถานบันเทิงครบวงจรและค่าธรรมเนียมรายปีสถานบันเทิงครบวงจร
(12) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขการขอต่ออายุใบอนุญาตสถานบันเทิงครบวงจรและอัตราค่าธรรมเนียมการขอต่ออายุใบอนุญาตสถานบันเทิงครบวงจร
(13) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเลิกประกอบสถานบันเทิงครบวงจร
(14) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง หลักเกณฑ์ ประเภท ลักษณะ และรายละเอียดการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรในสถานบันเทิงครบวงจร
(15) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง กำหนด วันเปิดปิดและสถานที่ตั้งของสถานบริการ เวลาและสถานที่ห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเขตสูบบุหรี่ในสถานบันเทิงครบวงจร
(16) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง ค่าธรรมเนียมการเข้าสถานประกอบการกาสิโนของผู้มีสัญชาติไทย
(17) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง สัดส่วนของพนักงานคนไทยและต่างด้าวในสถานบันเทิงครบวงจร
(18) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง ลักษณะของพนักงานที่เกี่ยวข้องกับกาสิโน
(19) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เรื่อง หลักเกณฑ์กาสิโนของผู้รับใบอนุญาตสถานบันเทิงครบวงจร วิธีการ และเงื่อนไขการให้สินเชื่อแก่ผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันในสถานประกอบการ
(20) ร่างประกาศคณะกรรมการบริหาร เรื่อง อัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนอื่นของเลขาธิการ
(21) ร่างประกาศคณะกรรมการบริหาร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบแทนใบอนุญาตสถานบันเทิงครบวงจร
(22) ร่างประกาศคณะกรรมการบริหาร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการดำเนินการเชิญชวน โฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเกี่ยวกับกาสิโน
(23) ร่างข้อบังคับการประชุมของคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร
(24) ร่างข้อบังคับการมอบอำนาจให้ปฏิบัติงานแทนเลขาธิการ
LAS / Legal Advance Solution
การบรรยายวิชากฎหมายและภาษีสำหรับธุรกิจ โดยทีมที่ปรึกษากฎหมาย บริษัท ลีกัล แอดวานซ์ โซลูชั่น จำกัด (LAS) สำหรับนิสิตภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภาคปลาย ปีการศึกษา 2567
ท่านวรรณรัตน์ ศรีสุขใส อดีตรองปลัดกระทรวงแรงงาน ท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์สูง มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายแรงงาน ท่านเชื่อมั่นและให้ความไว้วางใจใน LAS และคุณธันย์ธรณ์เทพ แย้มอุทัย กรรมการผู้จัดการ ในการที่จะให้คำแนะนำรวมถึงการให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแรงงานเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานทั้งนายจ้างและลูกจ้างให้มีความเป็นธรรมและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้ใช้แรงงาน
LAS (Legal Advance Solution) โดยคุณนันทนัช แสงทอง ทนายความหุ้นส่วน ฝ่ายกฎหมายธุรกิจ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ให้กับทีม IGLOO Studio เพื่อการประยุกต์ใช้ในการทำงานจริง ด้วยบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนาน ทีม LAS พร้อมจัดอบรมครั้งต่อไป
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลคืออะไร
พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีสัญชาติใดก็ตาม ในฐานะที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยกำหนดให้บุคคลหรือองค์กรต่างๆ มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด
อย่างไรก็ตาม การเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หากทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว หรือเพื่อกิจกรรมในครอบครัว นั้น ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายนี้ แต่จะต้องไม่เป็นการทำให้เกิดความเสียหายกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพราะแม้จะไม่มีความผิดตามกฎหมายฉบับนี้ แต่ก็อาจมีความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ได้
ความหมายของ “ข้อมูลส่วนบุคคล”
“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายความว่า ข้อมูลใดๆ รวมถึงข้อมูลที่มีความอ่อนไหว ที่สามารถทำให้ระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ ไม่ว่าจะได้มาโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ รูปถ่าย เบอร์โทรศัพท์ บัตรประจำตัวประชาชน เชื้อชาติ ข้อมูลสุขภาพ ประวัติอาชญากรรม พฤติกรรมทางเพศ เป็นต้น
“ผู้เกี่ยวข้อง” ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
1. เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject) คือ บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลและมีสิทธิตามกฎหมายฉบับนี้ ได้แก่ ประชาชนทุกคน เช่น พนักงานบริษัท ลูกค้ารายบุคคล เป็นต้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึง นิติบุคคล หรือผู้เสียชีวิต
2. ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) คือ บุคคลหรือนิติบุคคล ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย และมีหน้าที่ตามที่กฎหมายฉบับนี้กำหนด เช่น องค์กร หน่วยงาน สถาบัน เป็นต้น
3. ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) คือ บุคคลหรือนิติบุคคล ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลในการทำตามคำสั่งที่ได้รับจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล เช่น หน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นผู้รับจ้างจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลให้จัดการกับข้อมูลส่วนบุคคล
4. เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Officer / DPO) คือ บุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้กับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล โดยการให้คำแนะนำและตรวจสอบการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงาน หรือ องค์กร นั้นๆ
การขอความยินยอม (Consent)
กฎหมายกำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่ประสงค์จะเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เป็นผู้มีหน้าที่ในการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนที่จะกระทำการดังกล่าว โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์และความจำเป็นในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงความเป็นอิสระในการให้ความยินยอมของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
ความยินยอมที่จะขอนั้น จะต้องระบุข้อความตามที่กฎหมายกำหนด เช่น วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม ระยะเวลาในการเก็บรวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลในการติดต่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล และสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น
กรณีผู้เยาว์ (อายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์) จะต้องมีผู้ใช้อำนาจปกครอง (เช่น บิดา หรือ มารดา) ให้ความยินยอมด้วย เว้นแต่บางกรณี ผู้เยาว์สามารถให้ความยินยอมเองได้ เช่น การเข้าทำสัญญาที่ให้ประโยชน์กับผู้เยาว์โดยไม่มีเงื่อนไข
กรณีอื่นๆ ที่ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ก็สามารถเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลได้ โดยจะต้องกระทำไปเพื่อความจำเป็นบางอย่าง เช่น เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคลอื่น เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นต้น
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
1. สิทธิในการได้รับแจ้ง
2. สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม
3. สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
4. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง
5. สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล
6. สิทธิในการห้ามมิให้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
7. สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล
8. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
โทษจากการฝ่าฝืนกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โทษจากการฝ่าฝืนกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมี 3 ประการ ได้แก่
1. โทษทางแพ่ง – จ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวน 2 เท่า โดยคำนวณจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
2. โทษทางอาญา – ปรับสูงสุด 1 ล้านบาท และจำคุกไม่เกิน 1 ปี และ
3. โทษทางปกครอง – ปรับสูงสุด 5 ล้านบาท
การร้องเรียน
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อการพิจารณาคำร้อง และดำเนินการเยียวยาตามนโยบายของคณะกรรมการฯ ต่อไป
นันทนัช แสงทอง
สัญญาทางกฎหมายเป็นเอกสารสำคัญที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย การอ่านสัญญาอย่างละเอียดและเข้าใจเนื้อหานั้น จะช่วยป้องกันปัญหาข้อพิพาทในอนาคต ต่อไปนี้คือข้อควรระวังในการอ่านข้อสัญญาทางกฎหมาย:
1. อ่านสัญญาทั้งหมดอย่างละเอียด
อย่าเซ็นสัญญาเพียงเพราะรีบร้อนหรือถูกกดดัน อ่านสัญญาทั้งหมดอย่างละเอียด โดยเฉพาะตัวอักษรย่อ ภาษาที่กำกวม และเงื่อนไขพิเศษ
2. เข้าใจความหมายของข้อสัญญา
หากไม่เข้าใจคำศัพท์หรือประโยคใดในสัญญา ถามผู้เสนอสัญญาหรือปรึกษาทนายความ
3. ตรวจสอบข้อมูลสำคัญ
ตรวจสอบข้อมูลสำคัญในสัญญา เช่น ชื่อคู่สัญญา รายละเอียดของสินค้าหรือบริการ ราคา ระยะเวลา เงื่อนไขการชำระเงิน การรับประกัน และวิธีการระงับข้อพิพาท
4. ถามคำถาม
หากมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับสัญญา ถามผู้เสนอสัญญาจนกว่าจะเข้าใจ
5. เปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายๆ แหล่ง
หากเป็นไปได้ เปรียบเทียบข้อเสนอสัญญาจากหลายๆ แหล่งก่อนตัดสินใจ
6. เก็บสำเนาของสัญญา
เก็บสำเนาของสัญญาไว้เพื่ออ้างอิงในอนาคต
ตัวอย่างข้อควรระวัง
ข้อความตัวอักษรย่อ: สัญญาอาจมีข้อความตัวอักษรย่อที่ย่อมาจากคำศัพท์ทางกฎหมาย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเข้าใจความหมายของตัวอักษรย่อเหล่านั้น
ภาษาที่กำกวม: สัญญาอาจใช้ภาษาที่กำกวม ตีความได้หลายแง่มุม ระวังอย่าตีความสัญญาในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองเพียงฝ่ายเดียว
เงื่อนไขพิเศษ: สัญญาอาจมีเงื่อนไขพิเศษที่เพิ่มเติมจากข้อกำหนดทั่วไป ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเข้าใจเงื่อนไขพิเศษเหล่านั้น
การปรึกษาทนายความ
หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับสัญญาใดๆ ปรึกษาทนายความเพื่อขอคำแนะนำ ทนายความจะช่วยอธิบายเนื้อหาของสัญญา และช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
"LAS" / Legal Advance Solution
Email: [email protected]
LAS ได้รับทราบเรื่องราวมากมายจากนักธุรกิจในหลากหลายกิจการที่เข้ามาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผน และการจัดโครงสร้างบริษัท เพื่อรองรับการเติบโตและการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญและได้รับการสอบถามเข้ามาเป็นอย่างมากคือ การเข้าไปลงทุนในกิจการอื่น หรือจะมีผู้เข้าร่วมลงทุนในกิจการของตนเอง
ปัญหาที่สำคัญคือ นักธุรกิจยังไม่ได้ให้ความสำคัญในการวางแผนการจัดการโครงสร้างบริษัทเพื่อรองรับการร่วมลงทุน และยังไม่ทราบเกี่ยวกับการวางแผนด้านกฎหมายธุรกิจ การวางระบบทางกฎหมายที่จะสร้างความยืดหยุ่น สร้างแต้มต่อ และลดความเสี่ยงทางกฎหมายในด้านต่างๆ ทั้งบริษัทและเจ้าของกิจการ จึงส่งผลทำให้เกิดการสูญเสียโอกาสในทางธุรกิจและเกิดความไม่พร้อมหากมีการร่วมลงทุน
โดยหากกล่าวถึงข้อควรระวังเกี่ยวกับการร่วมลงทุน LAS ขอให้คำแนะนำเบื้องต้นเป็นการทั่วไปดังนี้
1. การร่วมลงทุนจะต้องมีข้อตกลงทางธุรกิจและมีวัตถุประสงค์ในการร่วมลงทุนที่ชัดเจน
2. ผู้ร่วมลงทุนทุกฝ่ายจะต้องไม่ปกปิดข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างคู่สัญญาในอนาคต
3. ผู้ร่วมลงทุนจะต้องทำการตกลงเกี่ยวกับผลประโยชน์ และหน้าที่ของผู้ร่วมลงทุนแต่ละฝ่ายก่อนการร่วมลงทุน
4. ผู้ร่วมลงทุนแต่ละฝ่ายจะต้องสร้างข้อตกลงร่วมกันในกรณีที่เกิดปัญหาการตัดสินใจทางธุรกิจที่อาจขัดแย้งกัน
5. ผู้ร่วมลงทุนควรปรึกษานักฎหมายธุรกิจที่มีประสบการณ์ ที่สามารถให้คำแนะนำในการร่วมลงทุนด้วยจิตใจของผู้ประกอบกิจการ
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 841/2562 (บังคับเขียนใบลาออก) ลูกจ้างชาวต่างชาติถูกนายจ้างและผู้บังคับบัญชาเรียกเข้าไปในห้อง "ให้เขียนใบลาออก มิฉะนั้นจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยลูกจ้างมิได้สมัครใจอย่างแท้จริง" พฤติการณ์เป็น “การเลิกจ้างโดยปริยาย” และเป็นการกระทำละเมิดต่อลูกจ้าง นายจ้างต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดร่วมกับผู้ช่วยผู้อำนวยการชดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิด 100,000 บาท และจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 550,000 บาท (10 เดือน)
(ที่มา นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการ กองนิติการ กระทรวงแรงงาน)
สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นสำหรับบริษัทจำกัด “เรื่องง่าย กลายเป็นเรื่องยาก” หนึ่งใน Pain Point ของเจ้าของบริษัทและผู้ถือหุ้นคือ ไม่เคยทราบเลยว่า สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นคืออะไร ? ทำไมต้องมี ? มีไว้ใช้ทำอะไร ?
ผู้ถือหุ้นหลายๆ ท่าน จะมีความเข้าใจว่า บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่ยื่นไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ (หรือที่เรียกกันว่าแบบ บอจ. 5) ถือเป็นหลักฐานและเป็นข้อมูลชื่อและที่อยู่ของผู้ถือหุ้นโดยถูกต้องแล้ว
ในความเป็นจริงตามกฎหมาย สิ่งที่ผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดต้องรู้ คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้วางหลักกฎหมายที่สำคัญเกี่ยวกับสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นไว้ 4 มาตรา และ พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 อีก 3 มาตรา ตามที่ได้ระบุไว้ด้านท้ายของบทความนี้
สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น กฎหมายกำหนดให้บริษัทจำกัด จัดทำขึ้นเริ่มตั้งแต่วันที่จดทะเบียนบริษัท และให้เก็บรักษาไว้ ณ สำนักงานของบริษัท โดยสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นจะต้องมีรายละเอียดข้อความตามที่กฎหมายกำหนด
ซึ่งวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ การจดแจ้งข้อมูลทุกอย่างของผู้ถือหุ้น ไม่ว่าจะจะเป็นชื่อ ที่อยู่ จำนวนหุ้น ปริมาณหุ้นที่ถือครอง ตลอดจนรายการต่างๆ เช่น บันทึกการเปลี่ยนแปลงข้อมูลของตัวผู้ถือหุ้นเอง หรือของการเปลี่ยนแปลงจำนวนหุ้น การซื้อขาย หรือการโอนหุ้น การจำนำหุ้น ตลอดจนเงื่อนไขต่างๆ ของการห้ามโอนหุ้น (โดยมีเงื่อนไข) หรือเงื่อนไขการโอนหุ้นที่ประสงค์จะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นรับทราบเป็นต้น
โดยข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นสำหรับบริษัทจำกัด จะถือเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือมากที่สุด โดยหากบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่นำไปยื่นกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีข้อความขัดหรือแย้งกับสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น บริษัทจะต้องยึดถือข้อมูลที่ปรากฎในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ รวมถึงชื่อและที่อยู่ในการจัดส่งเอกสารเชิญประชุมอีกด้วย ซึ่งจะต้องอ้างอิงข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ตามที่กฎหมายกำหนด
ในความเป็นจริงตามสังคม ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่จะไม่ทราบและไม่ได้จัดทำสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นสำหรับบริษัทจำกัดเอาไว้ เพราะจะเข้าใจว่า บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่ยื่นไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์นั้น (หรือที่เรียกกันว่าแบบ บอจ. 5) ถือเป็นหลักฐานและเป็นข้อมูลชื่อและที่อยู่ของผู้ถือหุ้นโดยถูกต้องแล้ว
ซึ่งจากบทความนี้ ผู้ถือหุ้นต้องรู้ !! ว่า บริษัทจำกัดต้องจัดทำสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เพราะกฎหมายกำหนดให้ต้องจัดทำ ส่วนบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่ยื่นไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์นั้น ไม่เพียงพอ !! และท่านอาจมีโทษตามที่กฎหมายกำหนด !! บริษัทจำกัดต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
• ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1138 บริษัทจำกัดต้องมีสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น มีรายการดังต่อไปนี้คือ
(1) ชื่อและสำนัก กับอาชีวะ ถ้าว่ามี ของผู้ถือหุ้น ข้อแถลงเรื่องหุ้นของผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง ๆ แยกหุ้นออกตามเลขหมายและจำนวนเงินที่ได้ใช้แล้ว หรือที่ได้ตกลงกันให้ถือว่าเป็นอันได้ใช้ แล้วในหุ้นของผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง ๆ
(2) วันเดือนปีซึ่งได้ลงทะเบียนบุคคลผู้หนึ่ง ๆ เป็นผู้ถือหุ้น
(3) วันเดือนปีซึ่งบุคคลคนใดคนหนึ่งขาดจากเป็นผู้ถือหุ้น
(4) เลขหมายใบหุ้นและวันที่ลงในใบหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือ และเลขหมายของหุ้นซึ่งได้ลงไว้ในใบหุ้นนั้น ๆ
(5) วันที่ได้ขีดฆ่าใบหุ้นชนิดระบุชื่อ หรือชนิดออกให้แก่ผู้ถือ
มาตรา 1139 สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเริ่มแต่วันจดทะเบียนบริษัทนั้นให้รักษาไว้ ณ สำนักงานของบริษัทแห่งที่ได้บอกทะเบียนไว้สมุดทะเบียนนี้ให้เปิดให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหลายดูได้ในระหว่างเวลาทำการโดยไม่เรียกค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งอย่างใด แต่กรรมการจะจำกัดเวลาลงไว้อย่างไรพอสมควรก็ได้ หากไม่น้อยกว่าวันละสองชั่วโมง
ให้เป็นหน้าที่ของกรรมการที่จะส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ที่ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ทั้งหมดในเวลาที่ประชุม และรายชื่อผู้ที่ขาดจากเป็นผู้ถือหุ้นจำเดิมแต่วันประชุมสามัญครั้งที่แล้วมานั้น ไปยังนายทะเบียนอย่างน้อยปีละครั้ง และมิให้ช้ากว่าวันที่สิบสี่นับแต่การประชุมสามัญ บัญชีรายชื่อนี้ให้มีรายการบรรดาที่ระบุไว้ในมาตราก่อนนั้นทุกประการ
มาตรา 1140 ผู้ถือหุ้นชอบที่จะเรียกให้ส่งมอบสำเนาทะเบียนเช่นว่านั้นหรือแต่ตอนหนึ่งตอนใดแก่ตนได้ เมื่อเสียค่าสำเนาแต่ไม่เกินหน้าละห้าบาท
มาตรา 1141 สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้องในข้อกระทงความบรรดาที่กฎหมายบังคับ หรือให้อำนาจให้เอาลงในทะเบียนนั้น
• พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499
มาตรา 10 บริษัทจำกัดใดไม่มีสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นตามมาตรา 1138 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 20,000 บาท
มาตรา 11 บริษัทจำกัดใดไม่รักษาสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น หรือเมื่อผู้ถือหุ้นร้องขอไม่เปิดสมุดทะเบียนให้ผู้ถือหุ้นดูตามมาตรา 1139 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 20,000 บาท
มาตรา 26 กรรมการใดของบริษัทจำกัดไม่ส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นและผู้ที่ขาดจากเป็นผู้ถือหุ้น ตามมาตรา 1139 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท
เมื่อผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทตามกฎหมาย เพื่อเริ่มต้นการประกอบกิจการในรูปแบบของนิติบุคคล คำว่า “ผู้ถือหุ้น” จะต้องเข้ามากระทบในจิตใจของท่านไม่มากก็น้อย โดยขอนำเสนอตัวอย่าง ให้พอเห็นภาพส่วนหนึ่งของคำถามดังนี้
1. จะลงทุนและเป็นเจ้าของคนเดียว !!! ทำไมต้องมีผู้ถือหุ้น (คนอื่น) ?
2. กฎหมายอยากให้มี “นอมินี” ? ไม่ชอบที่จะยอมรับเรื่องจริง ?
3. อยากจะควบคุมบริษัทแบบเบ็ดเสร็จ จะทำอย่างไร ?
4. ผู้ถือหุ้นอีกฝ่ายหนึ่งลงเงินทุนอย่างเดียว ไม่อยากให้ผู้ถือหุ้นฝ่ายนั้นบริหารกิจการ ทำอย่างไร ?
5. มีผู้ถือหุ้นคนนอก ซื้อหุ้นต่อจากผู้ถือหุ้นเดิม เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่ โดยที่ผู้ถือหุ้นเดิมไม่รู้จัก ทำอย่างไร ?
6. ให้หุ้นพนักงาน แล้วพนักงานลาออก จะติดตามขอซื้อหุ้นกลับมา แต่พนักงานจะขายหุ้นคืนแพงๆ ทำอย่างไร ?
7. นักลงทุนในธุรกิจ Start Up อยากจะขายหุ้นคืนเมื่อธุรกิจมีกำไร ทำอย่างไร ?
8. อยากให้คนมาลงทุนธุรกิจ Start Up เป็นผู้ถือหุ้น แต่ไม่อยากให้มีสิทธิในการบริหาร ทำอย่างไร ?
9. อยากจัดโครงสร้าง Holding Company วางแผนอย่างไร ?
10. อยากจัดโครงสร้างธุรกิจ โครงสร้างผู้ถือหุ้นแบบล้มบนฟูก ลดและเลี่ยงความรับผิดแบบไม่ทำผิดกฎหมาย จะวางโครงสร้างอย่างไร ?
11. อยากเป็นเจ้าของหุ้น แบบไม่เปิดเผยตัวตน ทำอย่างไร ?
ทุกคำถามล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งในการทำธุรกิจ และการจัดการโครงสร้างผู้ถือหุ้น รวมถึงการวางแผนกฎหมายทางธุรกิจ
นักกฎหมายธุรกิจจะต้องนำข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมดเข้ามาประมวลผล และทำให้เรื่องราวทางกฎหมายที่ซับซ้อน ให้เป็นเรื่องที่ง่าย และสามารถอธิบายให้กับผู้ประกอบธุรกิจมีความเข้าใจและไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างผู้ถือหุ้น
การจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้นและการวางหลักข้อตกลงทางธุรกิจอย่างมีศิลปะ โดยใช้ข้อกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างผสมผสานแก้ไขปัญหา สร้างทางออกให้กับผู้ถือหุ้นทุกฝ่าย บนพื้นฐานของความสำเร็จทางธุรกิจร่วมกัน
ปัจจุบันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการ พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ แบบ Mixed-Use Real Estate Projects นั้น ได้แยกกฎหมายเป็นคนละฉบับ ไม่มีการบูรณาการระหว่างกฎหมายด้วยกันเอง เสมือนหนึ่งว่าคนใช้ไม่ได้ร่างกฎหมาย ส่วนคนร่างไม่เคยพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และไม่เข้าใจ หรือไม่รับรู้ว่ามูลค่าที่ดิน หรือต้นทุนต่าง ๆ มีมูลค่าสูงมากเพียงใด ไม่เดือดร้อน ใช้ประโยชน์จากที่ดินที่จำกัดอย่างไม่คุ้มค่า ไม่เข้าใจธุรกิจและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม กฎหมายมีความล้าหลังและไม่เท่าทันต่อการพัฒนาการทางด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการลดภาระค่าใช้จ่ายของสังคมคนเมืองที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยจะขอนำเสนอแนวความคิดดังนี้
1. แนวคิดของกฎหมายอาคารชุด กฎหมายโรงแรม กฎหมายเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร กฎหมายสิ่งแวดล้อม
กฎหมายอาคารชุดมีแนวคิดที่จะมุ่งคุ้มครองประชาชนที่ซื้อห้องชุดเพื่อการอยู่อาศัยเป็นหลัก โดยจะเห็นได้จาก พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 กำหนดว่า
“มาตรา 6/1 ในกรณีที่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารตามมาตรา 6 ทำการโฆษณาขายห้องชุดในอาคารชุด ต้องเก็บสำเนาข้อความหรือภาพที่โฆษณา หรือหนังสือชักชวนที่นำออกโฆษณาแก่บุคคลทั่วไปไม่ว่าจะทำในรูปแบบใดไว้ในสถานที่ทำการจนกว่าจะมีการขายห้องชุดหมด และต้องส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้นิติบุคคลอาคารชุดจัดเก็บไว้อย่างน้อยหนึ่งชุด
การโฆษณาขายห้องชุดในอาคารชุดในส่วนที่เกี่ยวกับหลักฐานและรายละเอียดที่กำหนดไว้ในมาตรา 6 ข้อความหรือภาพที่โฆษณาจะต้องตรงกับหลักฐานและรายละเอียดที่ยื่นพร้อมคำขอจดทะเบียน และต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 15 ให้ชัดเจน
ให้ถือว่าข้อความหรือภาพที่โฆษณา หรือหนังสือชักชวนเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายห้องชุด แล้วแต่กรณี หากข้อความหรือภาพใดมีความหมายขัดหรือแย้งกับข้อความในสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายห้องชุด ให้ตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้จะซื้อหรือผู้ซื้อห้องชุด”
“มาตรา 17/1 ในกรณีที่มีการจัดพื้นที่ของอาคารชุดเพื่อประกอบการค้าต้องจัดระบบการเข้าออกในพื้นที่ดังกล่าวเป็นการเฉพาะไม่ให้รบกวนความเป็นอยู่โดยปกติสุขของเจ้าของร่วม
ห้ามผู้ใดประกอบการค้าในอาคารชุด เว้นแต่เป็นการประกอบการค้าในพื้นที่ของอาคารชุดที่จัดไว้ตามวรรคหนึ่ง”
“มาตรา 18 เจ้าของร่วมต้องร่วมกันออกค่าภาษีอากรตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา 14
เจ้าของร่วมต้องร่วมกันออกค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการให้บริการส่วนรวม และที่เกิดจากเครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาและการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลาง ตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา 14 หรือตามส่วนแห่งประโยชน์ที่มีต่อห้องชุด ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในข้อบังคับ
ให้ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารตามมาตรา 6 เป็นเจ้าของร่วมในห้องชุดที่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง และต้องร่วมออกค่าใช้จ่ายตามวรรคหนึ่งและวรรคสองสำหรับห้องชุดดังกล่าวด้วย”
“มาตรา 33 นิติบุคคลอาคารชุดที่ได้จดทะเบียนตามมาตรา 31 ให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล
นิติบุคคลอาคารชุดมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการ และดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และให้มีอำนาจกระทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ทั้งนี้ ตามมติของเจ้าของร่วมภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้”
“มาตรา 48 มติเกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้ ต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด
(1)การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือรับการให้อสังหาริมทรัพย์ที่มีค่าภาระติดพันเป็นทรัพย์ส่วนกลาง
(2) การจำหน่ายทรัพย์ส่วนกลางที่เป็นอสังหาริมทรัพย์
(3) การอนุญาตให้เจ้าของร่วมทำการก่อสร้าง ตกแต่ง ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงหรือต่อเติมห้องชุดของตนเองที่มีผลกระทบต่อทรัพย์ส่วนกลางหรือลักษณะภายนอกของอาคารชุดโดยค่าใช้จ่ายของผู้นั้นเอง
(4) การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้หรือการจัดการทรัพย์ส่วนกลาง
(5) การแก้ไขเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายร่วมกันในข้อบังคับตามมาตรา 32 (8)
(6) การก่อสร้างอันเป็นการเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม หรือปรับปรุงทรัพย์ส่วนกลาง
(7) การจัดหาผลประโยชน์ในทรัพย์ส่วนกลาง
ในกรณีที่เจ้าของร่วมเข้าประชุมมีคะแนนเสียงไม่ครบตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง ให้เรียกประชุมใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันเรียกประชุมครั้งก่อน และมติเกี่ยวกับเรื่องที่บัญญัติไว้ตามวรรคหนึ่งในการประชุมครั้งใหม่นี้ต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด
จากข้อกฎหมายที่กล่าวถึงข้างต้น จากพระราชบัญญัติอาคารชุดจะเห็นได้ว่า กฎหมายมีการมุ่งเน้นการคุ้มครองไปยังประชาชนผู้ซื้อห้องชุดในอาคารชุดเพื่ออยู่อาศัย โดยให้อาคารชุดเป็นอาคารอยู่อาศัยที่มีความสงบสุข และปราศจากการรบกวนใดๆ อันไม่พึงประสงค์ หรือเป็นการเอาเปรียบต่อเจ้าของห้องชุดที่ต้องการซื้อห้องชุดเพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น
ในมาตรา 6/1 ของพระราชบัญญัติอาคารชุดกำหนดให้ข้อความโฆษณาใดๆ ถือให้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาขายห้องชุดที่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือผู้พัฒนาโครงการต้องมีความผูกพันตามการโฆษณาชวนเชื่อ หรือเอกสารประกอบการขายต่างๆ ซึ่งหากจะมองกันในภาพของการคุ้มครองแล้วนั้น ย่อมเห็นได้ว่ากฎหมายให้ความ คุ้มครอง ลูกค้า ประชาชน ที่จะซื้อห้องชุด เป็นอย่างมาก โดยป้องกันการเอาเปรียบจากผู้พัฒนาโครงการ ที่โฆษณาขาย อย่างนึง และ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ โครงการ กลับกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่เหมือน กับที่ผู้พัฒนาโครงการ ได้โฆษณาขายไว้ ดังนั้น เมื่อ ในตอนที่เริ่มต้นทำโครงการและขาย หากผู้พัฒนาโครงการ มิได้กล่าวถึง การทำการค้าเพื่อเชิงพาณิชย์ ในห้องชุด ในโครงการคอนโดมิเนียมนั้น ย่อมไม่สามารถกระทำได้ในภายหลัง มิเช่นนั้น จะถือว่าเป็นการกระทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับผู้ที่ซื้อห้องชุด และยิ่งในตอนท้าย ของมาตรานี้ กำหนดว่า
“ให้ถือว่าข้อความหรือภาพที่โฆษณา หรือหนังสือชักชวนเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายห้องชุด แล้วแต่กรณี หากข้อความหรือภาพใดมีความหมายขัดหรือแย้งกับข้อความในสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายห้องชุด ให้ตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้จะซื้อหรือผู้ซื้อห้องชุด”
ย่อมจะเห็นได้ชัดว่า กฎหมายให้ความคุ้มครอง กับผู้ซื้อห้องชุดมากเพียงใด
โดยถัดมา หากมองใน มาตรา 17/1 ที่มีการระบุชัดเจนว่าในกรณีที่มีการจัดพื้นที่ของอาคารชุดเพื่อประกอบการค้าต้องจัดระบบการเข้าออกในพื้นที่ดังกล่าวเป็นการเฉพาะไม่ให้รบกวนความเป็นอยู่โดยปกติสุขของเจ้าของร่วม โดยความหมาย ของมาตรานี้ จะเห็นได้ว่า กฎหมาย ต้องการจะคุ้มครอง การอยู่อาศัย โดยปกติสุขของเจ้าของร่วม ซึ่ง การทำโครงการ ในลักษณะของ Mixed-Use Real Estate Projects หรือ การมี โรงแรม หรือ พื้นที่การค้าเชิงพาณิชย์ อยู่ในอาคารเดียวกันกับคอนโดมิเนียม หากมิได้ วางแผนมาก่อน ย่อมไม่สามารถกระทำได้ เพราะขัดต่อกฎหมายบัญญัติ โดยการจัดพื้นที่ ในทางปฏิบัติ ของกฎหมายมาตรานี้ จะต้องแยกทางเข้าออก ลิฟท์โดยสาร บันได ที่จอดรถ หรือการใช้ประโยชน์ ในทรัพย์ส่วนกลาง แยกออกจากกัน ห้องโถง ทางเดิน ต้องไม่เชื่อมกัน ระหว่าง พื้นที่พักอาศัย กับพื้นที่ประกอบ การค้าเชิงพาณิชย์ ซึ่งการทำโรงแรมนั้น ก็คือการทำการค้าเชิงพาณิชย์ ในลักษณะหนึ่ง ดังนั้น กฎหมายมาตรานี้ ในวรรคสอง จึงกำหนดอย่างชัดเจนว่า ห้ามผู้ใดประกอบการค้าในอาคารชุด เว้นแต่เป็นการประกอบการค้าในพื้นที่ของอาคารชุดที่ได้จัดไว้ตาม วรรคหนึ่ง ซึ่ง หากผู้พัฒนาโครงการ มิได้กำหนด พื้นที่ สำหรับ ประกอบธุรกิจการค้า ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว นั้น ย่อมทำการค้าในภายหลัง หรือทำกิจการ หรือทำโรงแรม ในอาคารชุดมิได้ และเจ้าของห้องชุด ก็จะมาขาย ห้องชุดของตัวเอง ในลักษณะเป็นการ ให้เช่ารายวัน เพื่อเชิงพาณิชย์ ในลักษณะของการประกอบธุรกิจโรงแรม ก็ย่อมทำได้เช่นกัน
ในมาตรา 18 กำหนดว่าเจ้าของร่วม ต้องร่วมกันออก ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้ ทรัพย์ส่วนกลาง การให้บริการส่วนรวม และที่เกิดจากเครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวก ที่มีไว้ใช้ หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษา และดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลาง ตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์ส่วนกลาง หรือตามส่วนแห่งประโยชน์ที่มีต่อห้องชุดทั้งนี้ตามที่กำหนดในข้อบังคับ ในทางปฏิบัติ เจ้าของร่วม เจ้าของห้องชุด ที่อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม จริงๆ นั้น พวกเขาจะใช้ทรัพย์ส่วนกลางอย่างประหยัด เพราะ ตนเอง ต้องออกค่าใช้จ่าย ในทรัพย์ส่วนกลาง ในการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง เพราะฉะนั้น การใช้ทรัพย์ส่วนกลาง จะเป็นไปโดย ระมัดระวัง ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งในทางกลับกัน เจ้าของร่วมหรือเจ้าของห้องชุด บางราย ที่ใช้ห้องชุด ของตัวเองนั้น เป็นห้องชุดในเชิงการค้าพาณิชย์ เช่นทำโรงแรม หรือธุรกิจสำนักงาน หรือการค้าขาย ย่อมมีการใช้ห้องชุด และโดยอย่างยิ่ง การใช้ทรัพย์ส่วนกลาง ที่มีมากกว่าปกติ ในขณะที่ ค่าใช้จ่าย ในการชำระเงิน เพื่อบำรุงรักษาทรัพย์ส่วนกลาง อาจจะจ่าย เท่ากับ เจ้าของห้องชุด หรือเจ้าของร่วม ที่ใช้อยู่อาศัยจริง ซึ่งจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ความเอาเปรียบ ในการอยู่อาศัยร่วมกันในอาคารชุด ดังนั้น กฎหมาย อาคารชุด จึงเปิดช่องว่าง ให้มีการ ชำระค่าใช้จ่าย ในลักษณะ ตามส่วนแห่งประโยชน์ที่มีต่อห้องชุด ซึ่งในทางปฏิบัติ กฎหมายอาคารชุด ได้เปิดช่อง ให้ผู้พัฒนาโครงการ หรือเจ้าของร่วมหรือเจ้าของห้องชุด สามารถประกอบกิจการเชิงพาณิชย์ ได้ในห้องชุด และในโครงการ คอนโดมิเนียมนั้น หากว่าผู้พัฒนาโครงการ หรือเจ้าของร่วมเจ้าของห้องชุด ได้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด ตั้งแต่ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ในการขายโครงการ คอนโดมิเนียม และมีการ แบ่งแยก ในลักษณะของการจัดพื้นที่ อาคารชุดเพื่อประกอบการค้า ที่แยกออกจาก พื้นที่ห้องชุดที่เป็นลักษณะของ ห้องชุดพักอาศัย โดยไม่รบกวนความเป็นอยู่โดยปกติสุขของเจ้าของร่วม ของห้องชุดพักอาศัย ก็ยอมทำได้ และในทางปฏิบัติ อาคารชุดที่ทำในลักษณะ ที่มีห้องชุดพักอาศัย และห้องชุดการค้าเชิงพาณิชย์ อยู่ด้วยกัน ข้อบังคับ ของอาคารชุดนั้น มักจะกำหนด ให้มีค่าส่วนกลาง ค่าใช้จ่ายในทรัพย์ส่วนกลาง ที่ไม่เท่ากัน อาทิเช่น ห้องชุดพักอาศัย อาจมีค่าใช้จ่าย ในการบำรุงรักษาทรัพย์ส่วนกลาง ที่ต้องชำระเป็นรายเดือน น้อยกว่า ห้องชุดประเภทเชิงพาณิชย์ เพราะเนื่องจาก การใช้ประโยชน์ ในทรัพย์ส่วนกลาง การทำให้เกิดความเสื่อมของทรัพย์ส่วนกลาง น้อยกว่า เจ้าของร่วม ในส่วนของห้องชุด การค้าเชิงพาณิชย์
ซึ่งในมาตรา 33 ที่ถือเป็น หัวใจสำคัญ และเป็นวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลอาคารชุด กำหนดว่า นิติบุคคลอาการชุด มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางและให้มีอำนาจกระทำการใดๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวทั้งนี้ตามมติของเจ้าของร่วมภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ โดยได้ยก มาตรานี้ เข้ามาใน การวิจัยในครั้งนี้ เนื่องจาก เคยมีความเห็นของสำนักงานที่ดิน ในลักษณะของการตอบข้อหารือ ของผู้ประกอบการในธุรกิจการพัฒนาสังหาริมทรัพย์ว่า การประกอบกิจการ โรงแรม ในอาคารชุดนั้น อาจขัดต่อ บทบัญญัติของกฎหมาย อาคารชุด เนื่องจาก นิติบุคคลนะคะชุดนั้น จะมีหน้าที่เพียงเพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางเท่านั้น มิใช่ เป็นตัวแทน หรือเป็นผู้บริหารจัดการ ในลักษณะของการค้าเชิงพาณิชย์ ให้กับ เจ้าของร่วม ที่พักอาศัยอยู่ใน อาคารชุดนั้นๆ เพราะอาคารชุด หลายที่ นิติบุคคลอาคารชุด กลายเป็น เสมือน ผู้ดูแลล็อบบี้ในโรงแรม เนื่องจาก เจ้าของร่วมหรือเจ้าของห้องชุด ที่ใช้ห้องชุดของตัวเอง หรือนำห้องชุดของตัวเอง ออกค่ายหรือออกให้เช่าในลักษณะของการประกอบกิจการโรงแรม แล้วขอให้นิติบุคคลนั้นชุด หรือเจ้าหน้าที่ของนิติบุคคลอาคารชุด ทำหน้าที่ รับฝากกุญแจ เช็คอิน เช็คเอาท์ ทำความสะอาดห้อง ทำหน้าที่แม่บ้าน เพื่อประโยชน์ส่วนตน ของห้องชุด ที่ทำการค้าเชิงพาณิชย์ ทั้งๆ ที่ ห้องชุดของตนเอง เป็นห้องชุด เพียงเพื่อการพักอาศัยเท่านั้น
และในมาตรา 48 ที่กำหนดว่า มติ เกี่ยวกับ เรื่องดังต่อไปนี้ ให้ถือว่า ต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของ จำนวนคะแนนเสียงเจ้าของร่วมทั้งหมด จึงถือเป็นมติร่วมกัน โดยในอาคารชุด การกำหนด ข้อบังคับ การแก้ไขเปลี่ยนแปลง ข้อบังคับอาคารชุด จะต้องได้รับ มติร่วมกันของเจ้าของร่วม ตามสัดส่วนจำนวนคะแนนเสียง ตามที่กฎหมายกำหนด หรือตามที่กำหนดในข้อบังคับ ของอาคารชุดนั้น ตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่ง ในมาตรานี้ จะเห็นได้ว่า การจัดหาผลประโยชน์ในทรัพย์ส่วนกลาง จะต้องได้รับ อนุมัติ จากที่ประชุม ใหญ่เจ้าของร่วม ของโครงการอาคารชุด ด้วย ดังนั้นหากการกระทำใด ที่เป็นการ จัดหาผลประโยชน์ในทรัพย์ส่วนกลาง อาทิเช่น การเก็บค่าที่จอดรถ ในพื้นที่จอดรถ ซึ่งถือเป็นทรัพย์ส่วนกลาง ในกรณีที่ที่จอดรถนั้นไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นทรัพย์ส่วนบุคคล ก็จะต้องได้รับ การอนุมัติ โดยที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม เป็นต้น ที่ทำการยกมาตรานี้ ขึ้นมา เนื่องจาก หากจะทำอาคารชุด ในลักษณะ ของ Mixed-Use Real Estate Projects นั้น การจัดหาผลประโยชน์ในทรัพย์ส่วนกลาง จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจาก การค้าเชิงพาณิชย์การทำธุรกิจก็ต้องปรับตัว ดังนั้น ผู้ที่ จะซื้อของชุดในโครงการในลักษณะนี้ จะต้องมีความเข้าใจ ต่อความเปลี่ยนแปลง และเข้าใจ ในสิทธิ์ของตัวเอง ตามกฎหมาย อีกด้วย มิเช่นนั้น จะเกิดปัญหาตามมามากมาย จากความที่ไม่เข้าใจ จนทำให้ตนเอง ที่ใช้ห้องชุดเพื่อการพักอาศัย รู้สึกมีความเสียเปรียบ และไม่พอใจ จนเกิดปัญหาต่างๆตามมา
นอกจากนี้ ในส่วนกฎหมายโรงแรมนั้น ในพระราชบัญญัติโรงแรม ได้วางกฎเกณฑ์ เอาไว้ว่า ผู้ใดจะประกอบธุรกิจโรงแรม ผู้นั้นต้องได้รับการอนุญาตตามกฎหมาย มิเช่นนั้นจะประกอบธุรกิจโรงแรมมิได้ ซึ่งหนึ่งในพื้นฐานของการประกอบธุรกิจโรงแรม จะต้องยื่นคำขอประกอบธุรกิจโรงแรม โดยเอกสาร คำขอ นั้น ผู้ยื่น คำขอ จะต้อง ทำการยื่นใบขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นโรงแรม ด้วย และมีการ กำหนด จำนวนห้องพักโรงแรม ให้ชัดเจน ซึ่งในทางปฏิบัติ การยื่นคำขอประกอบธุรกิจโรงแรม โดยปรากฏคำว่าอาคารพักอาศัยรวม หรืออาคารชุด ในใบอนุญาต ก่อสร้างนั้น จะไม่ใช่ปัญหา เพราะ กฎหมายการประกอบธุรกิจโรงแรม ไม่ได้มีข้อห้าม มิให้ใช้ อาคาร ประเภทอาคารชุด มายื่นคำขอในการประกอบธุรกิจโรงแรม ดังนั้น กฎหมายโรงแรม ไม่ได้มีปัญหา แต่ กลับมีปัญหา ในการยื่นจดทะเบียนอาคารชุด เนื่องจาก ทางกรมที่ดิน จะถือกฎหมาย พระราชบัญญัติอาคารชุด เป็นกฎหมายหลัก ซึ่ง การยื่นจดทะเบียนอาคารชุด จะต้อง ยื่นใบอนุญาต ก่อสร้าง ซึ่งหากได้ใบอนุญาตก่อสร้างนั้น มีคำว่าโรงแรม มีการใช้วัตถุประสงค์ของอาคารเพื่อประกอบธุรกิจโรงแรม ทางกรมที่ดิน ก็จะมองว่า เป็นการขัด ต่อการ ขอจดทะเบียนอาคารชุด หรือขัดต่อการ ใช้ประโยชน์ในอาคารชุด ไม่เป็น ไปตาม วัตถุประสงค์ของกฎหมายอาคารชุด ซึ่งการตีความในลักษณะนี้ ของกรมที่ดิน เนื่องจากความไม่ชัดเจน ของกฎหมายอาคารชุด ที่กำหนด ไว้ว่า หากมีพื้นที่เชิงพาณิชย์ หรือห้องชุดเชิงพาณิชย์ จะต้องแยกทางเข้าออกให้ชัดเจน และ เจตนารมณ์ของกฎหมายอาคารชุดนี้ เพื่อคุ้มครอง เจ้าของชุด ที่ซื้อห้องชุดเพื่อพักอาศัยเท่านั้น โดยในมุมมองของกรมที่ดิน มองเพียงแค่ว่า ห้องชุดเชิงพาณิชย์ ใช้ประโยชน์ได้ในลักษณะ ของการ ค้าปลีกเล็กน้อยเท่านั้น อาทิเช่น ทำร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น ดังนั้น หากมีคำว่าโรงแรม อยู่ในเอกสารการยื่นขอจดทะเบียนอาคารชุด มักจะเป็นเรื่องใหญ่เสมอ และส่งผลให้ ไม่สามารถจดทะเบียนอาคารชุดใด หากเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดิน ใช้ดุลพินิจ ในการมองว่า ขัดต่อ เจตนารมณ์ของกฎหมายอาคารชุด
ส่วนแนวคิดของเรื่องกฎหมายการก่อสร้าง ได้ศึกษาเบื้องต้นว่า กฎหมายการก่อสร้าง ในลักษณะของอาคารชุด และอาคารประเภทโรงแรม หากเป็นอาคารขนาดใหญ่ อาคารพักอาศัยรวม กฎหมายการก่อสร้าง ก็จะมุ่งคุ้มครอง ความปลอดภัย ของผู้ใช้อาคาร เป็นสำคัญ ซึ่งได้กำหนดอยู่ในกฎกระทรวงต่างๆ มากมาย ซึ่งหาก ผู้ประกอบการ หรือผู้พัฒนาโครงการอาคารชุดนั้น สามารถยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างได้ ตามเงื่อนไข หลักความปลอดภัย ตามเงื่อนไข ของกฏกระทรวงตามกฎหมายเกี่ยวกับการก่อสร้างได้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ก็ไม่ใช่ปัญหา ในการทำโครงการในลักษณะนี้
แนวคิดตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม ได้ศึกษาและพบว่า การทำโครงการ บางประเภท ที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือเข้าเงื่อนไข ที่จะต้องทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผู้พัฒนาโครงการ ก็จะต้องทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้ถูกต้อง เสียก่อน ถึงจะนำ รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการอนุมัติแล้ว ไปยื่นเป็นเอกสารส่วนหนึ่ง ในการขอใบอนุญาตก่อสร้าง โครงการ ซึ่งในส่วนนี้ ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไร ต่อการทำโครงการในลักษณะนี้ หากผู้ประกอบการ ได้ดำเนินการถูกต้อง ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม หรือตามกฎหมายก่อสร้าง เรียบร้อยแล้ว
2. แนวคิด รูปแบบ ของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
แนวคิดรูปแบบของการพัฒนาสังหาริมทรัพย์ ในลักษณะของ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมอาคารชุดและห้างสรรพสินค้าในอาคารเดียวกันนั้นเป็นแนวคิด ที่เพื่อจะตอบโจทย์ สังคมคนเมือง เนื่องจากปัญหา การเดินทางปัญหาค่าครองชีพ ปัญหาราคาน้ำมันที่มีราคาแพง ที่ส่งผลกระทบ ต่อการใช้ชีวิต เป็นอย่างมาก ที่ดินในเมืองที่มีราคาสูง ซึ่งเมื่อผู้ประกอบการ ซื้อที่ดินมาในราคาสูง การทำที่อยู่อาศัยในเมือง หรือการขาย ต่างๆ ก็ต้อง ขายในราคาที่สูงมากๆ จนคนทั่วไป ไม่สามารถหาซื้อได้ ทั้งๆ ที่ การพัฒนาที่ดินในพื้นที่จำกัด เจ้าของโครงการในการพัฒนาสังหาริมทรัพย์ หากมีทางเลือก ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นห้องชุด โรงแรม หรือห้างสรรพสินค้าในอาคารเดียวกัน เมื่อพื้นที่การขายมากขึ้น ทำประโยชน์ได้มากขึ้นหลากหลายวัตถุประสงค์ได้มากขึ้น ต้นทุนย่อมลดลง ราคาย่อมปรับลดลงได้มากขึ้น เพราะพื้นที่การขายมากขึ้น การขาย มีช่องทางมากขึ้น ดังนั้นเมื่อมีโอกาสพัฒนาที่ดิน ในเมืองที่มีจำกัดอย่างเต็มศักยภาพ อย่างเต็มวัตถุประสงค์กับการใช้งาน ในอาคารในพื้นที่นั้นๆ ย่อมเป็นสิ่งที่คุ้มค่า และ ทำให้ราคาในการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นลดลง เป็นการใช้ที่ดินอย่างคุ้มค่า
3. กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม อาคารชุด ห้างสรรพสินค้า ในอาคารเดียวกัน (Mixed-Use Real Estate Projects) ที่เหมาะสมกับประเทศไทย
กฎหมายที่เกี่ยวกับการพัฒนาสังหาริมทรัพย์ ประเภทโรงแรมอาคารชุดห้างสรรพสินค้าในอาคารเดียวกันที่เหมาะสมกับประเทศไทยนั้น ควรจะเป็นกฎหมาย ที่มีการบูรณาการร่วมกัน หรือเป็นกฎหมายพิเศษเป็นกฎหมายเฉพาะ ซึ่ง ร่วมกันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งรูปแบบอาคารชุด โรงแรมห้างสรรพสินค้า หรือสำนักงานหรืออื่นๆ ในอาคารเดียวกัน เป็นกฎหมาย พิเศษ เป็นกฎหมายฉบับเดียว ซึ่งผู้ประกอบการ หรือเจ้าของห้องชุด หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายในเรื่องนี้ ไม่ต้องดูกฎหมายหลายบท แต่เป็นกฎหมายพิเศษ เพียงฉบับเดียว ที่จะรวบรวมเรื่องราว วิธีการ ขั้นตอนต่างๆ ในฉบับเดียว ซึ่งจะส่งผลทำให้การพัฒนาสังหาริมทรัพย์ในประเภทนี้ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และชัดเจน เนื่องจากผู้ประกอบการ รอคอย การใช้ประโยชน์ จากที่ดิน ในเมืองที่มีจำกัดอย่างเต็มศักยภาพมานาน แต่ไม่เคยได้รับการตอบสนอง การทำโครงการในพื้นที่จำกัด เลยมีราคาแพง และหากแพงมากๆ ผู้ประกอบการก็ต้องยอมขายแพง ให้กับประชาชนเช่นกัน ซึ่งในโลกในอนาคตราคาที่ดิน ซึ่งเป็นต้นทุนของการประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็จะมีราคาสูงมากๆ และสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย ผู้บริโภคประชาชนไม่มีกำลังซื้อ พอไม่มีกำลังซื้อ ก็ส่งผลต่อ ผู้ขายซึ่งไม่สามารถขายของได้ เมื่อผู้ขายไม่สามารถขายสินค้าได้ การจ้างงานใหม่ ไม่เกิด การซื้อสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่เกิด ทุกคนได้รับความเสียหาย ธุรกิจประเทศชาติไม่เจริญเติบโต อย่างที่ควรจะเป็น เพียงเพราะ ผู้ออกกฎหมาย ไม่รู้สึกเดือดร้อน ต่อการจัดทำโครงการหรือการพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ อย่างแท้จริง
4. วิเคราะห์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนากฎหมายที่จะเป็นกฎหมายที่บูรณาการการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบพิเศษ ซึ่งเป็นอาคารที่รวมการใช้งานและวัตถุประสงค์การใช้งานอาคารในหลายๆ ประเภทไว้ในอาคารเดียวกัน
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น จากการพัฒนากฎหมาย อสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบพิเศษนี้ ปัญหาหลักคือ การก่อสร้างอาคารชุด การทำโรงแรม การจดทะเบียนอาคารชุด มีหน่วยงานและกรมกอง ของทางราชการ หลากหลายหน่วยงาน อาทิเช่น การก่อสร้าง ต้องขออนุญาตก่อสร้าง กับหน่วยงานโยธาธิการ เทศบาล หรือสำนักงานเขต ส่วนการจดทะเบียนอาคารชุด เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ว ก็ต้องไปขออนุญาตกับสำนักงานที่ดิน ที่ขึ้นตรงกับกรมที่ดิน ส่วนเมื่อจดทะเบียนอาคารชุดได้แล้วจะประกอบธุรกิจโรงแรม ก็ต้องไปขออนุญาต กับฝ่ายปกครอง หากในกรุงเทพฯก็จะเป็นกรมการปกครอง ส่วนในต่างจังหวัด ก็จะเป็นหน่วยงานทางปกครองที่แยกออกไป เช่นอำเภอเป็นต้น ดังนั้น ปัญหาของการพัฒนากฎหมายในลักษณะนี้ จะต้องมีการระดมความคิด แนวคิด จากทั้งสามหน่วยงาน เป็นอย่างน้อย เข้ามาร่วมพัฒนากฎหมาย ซึ่งอาจจะมีทาง สิ่งแวดล้อม หรือหน่วยงานที่ดูแลทางด้านสิ่งแวดล้อม เข้ามาร่วม ประกอบเป็นทีมด้วย ก็จะมีความล่าช้าในการออกกฎหมาย หรือความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนมาจากต่างหน่วยงาน มาจากต่างกฎหมาย ยึดถือประโยชน์ที่ต่างกันไป ตามความถนัดในแต่ละด้านของตนเอง ดังนั้น หากยึดถือประโยชน์ ของการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ ของประเทศ และการใช้ประโยชน์ของที่ดินอย่างคุ้มค่า และการได้รับประโยชน์ ของประชาชน ที่จะสามารถเข้าถึงหรือซื้อสังหาริมทรัพย์ในเมืองได้มากขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะนับวัน ที่ดินในเมือง ที่มีปริมาณจำกัด ก็จะมีพื้นที่ให้ทำโครงการน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะหากพื้นที่ไหนทำโครงการ เช่นอาคารชุดไปแล้ว จะทุบ เพื่อสร้างใหม่ หรือเปลี่ยนโครงสร้าง ให้เป็นอาคารที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ ก็จะเป็นการยาก หรือหากทำได้ กฎหมายพิเศษที่กำลังจะพัฒนานี้ ก็ควรให้เสร็จ ที่จะ ปรับเปลี่ยนโครงการ ของตนเอง มาเป็น อาคารโครงการ ในลักษณะของการใช้ประโยชน์ หลากหลายรูปแบบ โดยเป็นทั้งอาคารชุด พักอาศัย โรงแรม และห้างสรรพสินค้าได้ หากอาคารนั้นมีความปลอดภัย มั่นคง เพียงพอ ที่จะให้ทำเช่นนั้นได้ ก็ไม่ควรจะเป็นข้อห้าม ที่จะห้ามมิให้ทำ ซึ่งหากสามารถทำได้หากสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในทางปฏิบัติ ผู้พัฒนาสังหาริมทรัพย์ หรือผู้ลงทุน ก็จะมีทางเลือกในการพัฒนา โครงการอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบใหม่ๆ หรือปรับปรุงจากของเดิมๆ ให้มีทางเลือกมากยิ่งขึ้น โดยประชาชนได้ประโยชน์ ในความสามารถเข้าถึง และราคาที่ถูกลง เป็นต้น
“LAS” Legal Advance Solution